เครื่อง ฟื้นฟู แบตเตอรี่
การใช้งานแบตเตอรี่ โดยทั่วไปแล้ว จะมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี ก็จะเริ่มเสื่อม ต้องทำการเปลี่ยนลูกใหม่แล้ว หากดูแลไม่ดี ปล่อยให้น้ำในแบตเตอรี่ แห้งแล้ว ก็จะทำให้อายุการใช้งานของ แบตเตอรี่ สั้นลง
แบตเตอรี่ ที่ใช้ในรถยนต์ มีอยู่หลักๆ 2 แบบ 1.แบบเติมน้ำ 2.แบบเจล หรือ เรียกว่า แบตแห้ง ซึ่งทั้ง 2 แบบ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน
ข้อดีของแบตเตอรี่ แบบน้ำ คือ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าแบบเจล หากดูแลดี ไม่ปล่อยให้น้ำแห้ง ส่วนแบตเตอรี่แห้ง มีข้อดีอยู่ตรงที่ ไม่ต้องคอยดูแลน้ำในแบตเตอรี่ เพราะแบตเจล หรือ แบตแห้งนั้น จะมีการระเหยของน้ำในแบตเตอรี่น้อยกว่า จึงไม่ต้องคอยมาเติมน้ำกลั่น แต่ก็มีอายุการใช้งานที่น้อยกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ
สาเหตุที่ทำให้ แบตเตอรี่ มีอายุการใช้งานที่สั้นลงกว่าวัยอันควร
- ปล่อยให้น้ำในแบตเตอรี่ต่ำกว่ากำหนด นาน
- ไม่เคยถูกนำมาชาร์จให้เต็ม (ตรงนี้มักจะเกิดกับรถยนต์ที่วิ่งระยะทางใกล้ๆ มีการจอด และสตาร์ทเครื่องบ่อย ทำให้แบตเตอรี่ ถูกใช้มากกว่าถูกชาร์จ ตรงนี้จะทำให้แบตเตอรี่ ม่อายุการใช้งานที่สั้นลง วิธีแก้ สำหรับรถใช้ในเมือง ควรนำแบตเตอรี่ ออกมาชาร์จด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ อย่างน้อย ทุกๆ 3 เดือน เพื่อให้แบตเตอรี่ เกิดการฟื้นฟู)
- ใช้งานจน แรงดัน โวลท์ ต่ำกว่าเกณท์ของแบตเตอรี่ โดยทั่วไป แบตเตอรี่รถยนต์ จะมีแรงดันใช้งานประมาณตั้งแต่ 12.5 ไปจนถึง 13.5 โวลท์ (ตรงนี้อาจเกิดจาก ไดชาร์จเสีย ทำให้แบตเตอรี่ ไม่ถูกชาร์จ ทำให้แรงดันในแบต ค่อยๆลดลงอย่างเรื่อยๆ จนทำให้แบตเตอรี่ เสียหายถาวร เราควรมีเครื่องมือเช็คแรงดันไฟไว้บ้าง เอาไว้สำรวจว่า หากวันไหนเราติดเครื่องแล้ว พบว่า แรงดันไฟในรถ มีต่ำกว่า 13 โวลท์ ควรนำรถเข้าร้านไดนาโม หรือแบตเตอรี่ เพื่อทำการหาสาเหตุที่แรงดันไม่มีมาชาร์จแบตเตอรี่ เพราะปกติแล้ว แรงดันไฟจากไดชาร์จ มีมากกว่า 14 โวลท์ขึ้นไป แต่เวลาชาร์จลงแบตเตอรี่ เราจะเห็นแรงดันจะอยู่ที่ประมาณ 13.5 โวลท์ขึ้นไป)
การฟื้นฟู แบตเตอรี่ นั้นสามารถทำใด้หลายวิธี ในอดีต เราอาจจะเคยเห็นการ ฟื้นฟู แบตเตอรี่ ที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าการทำสาว แบตเตอรี่ ซึ่งการทำสาวแบตเตอรี่นั้่น สามารถทำให้แบตเตอรี่เก่ากลับมาใช้งานได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ใช้งานได้อีกไม่นาน ก็จะกลับมาเสื่อมอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าไม่สามารถสลายซัลเฟตที่เกาะบนแผ่นธาตุได้ดีเท่าใดนัก ต่างจากการ ฟื้นฟู แบตเตอรี่ ด้วย เครื่อง ฟื้นฟู แบตเตอรี่ โดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้ค่า cca ในแบเตอรี่ กลับมาใกล้เคียงเหมือนแบตใหม่ๆอีกครั้ง
การทำงานของ เครื่อง ฟื้นฟู แบตเตอรี่ นั้นอาศัยหลักการของ การกระเพื่อมของกระแสไฟฟ้า ที่มี ความถึ่ หรือ Pulse เป็นจังหวะๆ เครื่องจะปล่อยแรงดันไฟ ขึ้นๆลงๆ สลับไปมา ทำให้คลื่นไฟฟ้าจาก เครื่อง ฟื้นฟู แบตเตอรี่ จะไปทำให้ซัลเฟตที่เกาะอยู่บริเวณแผ่นธาตุนั้นหลุดออกมา ทำให้การนำไฟฟ้าในแบตเตอรี่ กลับมาทำได้ดีอีกครั้ง
วันนี้เราได้รวบรวม เครื่อง ฟื้นฟู แบตเตอรี่ มาให้ได้เลือกชมกัน ซึ่ง เครื่อง ฟื้นฟู แบตเตอรี่ ก็มีข้อดีข้อเสีย แตกต่างกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานที่เหมาะสมกับเรา ซึ่งการใช้งาน เครื่อง ฟื้นฟู แบตเตอรี่ ตามบ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องเลือก เครื่อง ฟื้นฟู แบตเตอรี่ ขนาดใหญ่นัก จะทำให้เปลืองโดยไม่จำเป็น
การเลือกใช้งานแบตเตอรี่ ให้เหมาะสมกับรถของคุณ
- แบตเตอรี่แบบแห้ง
- ราคาแพงกว่าแบบน้ำ อายุการใช้งานสั้นกว่า
- ดูแลรักษาน้อย เพราะไม่ต้องเติมน้ำ
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ค่อยมีความรู้ในการบำรุงรักษาแบตเตอรี่ รถยนต์ หรือ ผู้ที่ไม่ชอบมาคอยเช็คน้ำกลั่นแบตเตอรี่
- เหมาะสำหรับสุภาพสตรี ผู้ที่ไม่ถนัดด้านช่าง
- แบตเตอรี่แบบน้ำ
- ราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แบบแห้ง
- ต้องหมั่นดูแลระดับน้ำ ในเบตเตอรี่ ให้อยู่ในระดับปกติ อย่างน้อย ทุกๆ 1 เดือน และบ่อยกว่านั้น หากแบตเตอรี่ มีอายุการใช้งานเกิน 2 ปีขึ้นไป
- อายุการใช้งาน ยาวนานกว่าแบบแห้ง หากดูแลอย่างถูกวิธี ไม่ปล่อยให้น้ำแห้ง และมีการฟื้นฟู ด้วยเครื่องฟื้นฟู เป็นระยะๆ (ทุกๆ 3-6 เดือน)
ควรเลือกเติมน้ำกลั่น ชนิดไหนดี
- เติมด้วยน้ำกลั่น สีขาวบริสุทธิ์ สำหรับรถที่ใช้งานทั่วไป ราคาตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไป
- เติมด้วยน้ำยาเคมี ขวดสีชมพู สำหรับรถที่วิ่งระยะทางไกลๆ บ่อยๆ เพราะน้ำยาเคมี จะช่วยลดความร้อนให้กับแบตเตอรี่ ขณะชาร์จได้ดี ราคาตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไป
จึงขอสรุปสั้นๆว่า
แบตเตอรี่ แห้ง เหมาะกับคนที่ไม่มีความรู้ด้านช่าง โดยเฉพาะสุภาพสตรี ที่ไม่ชอบมาเสียเวลาเช็คแบตเตอรี่ แต่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ทุกๆ 2-3 ปี
แบตเตอรี่ น้ำ เหมาะสำหรับผู้ที่พอจะมีความรู้ทางด้านช่างบ้างเล็กน้อย หากดูแลดีๆ สามารถใช้งานได้นาน บางรายใช้ได้เกิน 5 ปี